กรุงเทพฯ จัดเป็นเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดอันดับ 3 ของโลก!
.
โดย งานวิจัยนี้ใช้มาตรฐาน จากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
หรือ International Labour Organization (ILO) วัดจากช่วงระยะเวลา
ในการทำงาน ซึ่งระบุว่า ผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป
จะถือว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก ซึ่งคนทำงานในกรุงเทพฯ หลายคน
ทำงานมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บางคนทำงานโดยไม่มีวันหยุดเลย
ด้วยซ้ำไป!
.
การทำงานหนัก อาจเป็นหนทางที่สามารถทำให้สู่เป้าหมาย
หรือความสำเร็จที่หวังไว้ได้ แต่บางทีการที่ทำงานหนักมากเกินไปนั้น
อาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ที่อาจต้องทำการรักษาในระยะยาวอีกเช่นกัน
.
Intertrend วันนี้ จะให้เพื่อนๆ สำรวจตัวเองว่า
เราคือคนที่บ้างานมากเกินไปรึเปล่า
โดยดูได้จาก 5 สัญญาณเตือน ดังต่อไปนี้
.
1. “มาก่อน กลับทีหลัง”
หลายคนที่มีความทุ่มเทในการทำงาน อาจคิดว่า
การใช้เวลาในที่ทำงานที่มากกว่าคนอื่น
ถือเป็นการแสดงออกถึงความขยัน และความมุ่งมั่น
แต่แท้จริงแล้วการบริหารจัดการเวลาถือเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ต้องฝึกฝน
เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีคุณภาพที่ดีในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
เพื่อให้มีเวลาที่ได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
เพราะนักวิจัยมหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา
พบว่า การพักผ่อนและดูแลตัวเองให้มากขึ้น
จะทำให้ผลิตงานที่มีคุณภาพและปริมาณที่มากขึ้น
โดยใช้ “เวลาที่น้อยลง”
.
2. “หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน”
หากเป้าหมายในการทำงานของเรา
คือการมีรายได้ที่มาเลี้ยงดูตัวเองและคนที่รัก
หรือเพื่อการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
แต่ถ้า เราคิดถึงงานในทุกขณะจิต สิ่งที่ตามมา
อาจทำให้เกิดภาวะเครียดสะสมแบบที่เราไม่รู้ตัว
หรือหลายคนเรียกว่าเป็นสภาวะ Burnout
ที่ในที่สุดแล้ว ก็กลับมาส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงานได้เช่นกัน
.
3. “ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเริ่มสั่นคลอน”
จากผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย North Carolina
พบว่า การบ้างานมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการหย่าร้างได้ถึง 40%
เพราะหากคนในครอบครัวไม่เข้าใจ อาจเกิดความน้อยใจ
ที่ต่างก็ไม่มีเวลาที่ใช้ชีวิตด้วยกัน ทั้งกับครอบครัว และเพื่อนรอบตัว
.
4. “ยึดติดคุณค่าของตัวเองไว้ที่งาน”
จากประโยคที่ว่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”
อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยทำให้ใครหลายคน ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ
และมีความวิตกกังวลกับงาน จนไม่วางใจให้ใครมาทำแทนได้
ทุกอย่างต้องออกมาดีที่สุด จนอาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล
ซึ่งอาจส่งผลทางด้านบวกที่เป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถสร้างความกดดันและความเครียด
ให้ตัวเราเองได้โดยที่เราไม่รู้ตัว
.
5. “ป่วย แบบไม่มีสาเหตุ”
เป็นข้อที่อาจทำให้ใครหลายๆคนที่ หาเงินมาทั้งชีวิต
แล้วสุดท้ายก็ต้องเอาเงินมาจ่ายให้โรงพยาบาลเพื่อการรักษาตัวเอง
จากการเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือจิตใจ
ที่อาจหาสาเหตุของการเกิดโรคไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว
อาจเกิดจากความเครียดภายในที่ส่งผลให้เซลล์ในร่างกาย
มีความผิดปกติจนเกิดโรคร้ายแรงได้เช่นกัน
.
จากสัญญาณ 5 ข้อที่ได้กล่าวไว้ หากใครมีครบทั้ง 5 ข้อ
ก็อาจจะบอกได้ว่า คุณอาจเป็นหนึ่งในผู้ที่บ้างานอยู่
จนท้ายที่สุดอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพกายและใจได้
ซึ่งสุดท้ายก็กลับมาที่ตัวเราเอง ที่เมื่อมีเป้าหมายของชีวิตแล้ว
สิ่งที่ตามมาคือต้องรู้ตัวเอง ปรับความคิด ทัศนคติต่อการทำงาน
ฝึกบริหารจัดการเวลา แยกระหว่างเวลางาน กับเวลาพักผ่อน
หรืออาจใช้อาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการต้านสารอนุมูลอิสระ
ต้านการอักเสบ เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่คอยฟื้นฟูร่างกายได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน