ออทิสติกเทียม รู้เร็ว รักษาได้

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่า “ออทิสติกเทียม” กันจนคุ้นหูและสงสัยว่ามีความแตกต่างจากภาวะ ออทิสติกแท้อย่างไร แท้ที่จริงแล้วคำว่า “ออทิสติกเทียม” เดิมไม่มีอยู่จริงในทางการแพทย์ เพียงแต่ในปัจจุบันเป็นคำที่นิยมใช้เพื่ออธิบายภาวะที่เด็กมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมล่าช้า ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายเด็กออทิสติก (Autistic Spectrum Disorder) เช่น ไม่มองหน้าสบตา เรียกไม่หัน ไม่พูด/พูดช้า ชอบเล่นคนเดียว รวมถึงการที่เด็กมีท่าทางที่ชอบทำซ้ำๆ ไม่ยืดหยุ่น

ภาวะออทิสติกเทียมหรือพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเข้าสังคมล่าช้า โดยมากมีสาเหตุมาจากการขาดการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมในวัยเด็ก ในปัจจุบันส่วนใหญ่ที่พบได้บ่อยได้แก่ “ภาวะติดหน้าจอ” การทิ้งให้เล่นคนเดียว ขาดปฏิสัมพันธ์พื้นฐาน หรืออาจมาจากการที่เด็กมีภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานๆ ต่างจากภาวะออทิสติกแท้ ที่มีสาเหตุมาจากความบกพร่องในการพัฒนาของสมองเด็ก (Neurodevelopmental disorder)

ออทิสติกแท้ vs ภาวะคล้ายออทิสติก (“ออทิสติกเทียม”) ต่างกันอย่างไร

ลักษณะอาการออทิสติกสเปกตรัม (แท้)ออทิสติกเทียม / ภาวะคล้ายออทิสติก
การสบตาส่วนใหญ่ไม่สบตาในทุกสถานการณ์ไม่สนในสิ่งแวดล้อมหรือคนรอบตัวไม่สบตาเพราะสนใจในสิ่งอื่น แต่อาจยังสบตาเมื่อถูกกระตุ้น
การตอบสนองต่อชื่อไม่ค่อยหันหรือไม่ตอบสนองไม่หันเวลาจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น ดูจอ เล่นของเล่นที่ชอบ
การเล่นชอบเล่นคนเดียว เล่นซ้ำๆ เล่นรูปแบบเดิมๆ เช่นเรียงของ ไม่เล่นสมมติ เล่นไม่มีจินตนาการเล่นคนเดียวได้ แต่ถ้ามีคนชวนก็จะเล่นโต้ตอบด้วยได้เมื่อเริ่มคุ้นเคย
แนวทางการรักษาสามารถพัฒนาศักยภาพของเด็กให้สูงที่สุดภายใต้ศักยภาพของสมองแต่ละราย ใช้การรักษาร่วมกันหลายศาสตร์ เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด เช่น การกระตุ้นพัฒนาการ กิจกรรมบำบัด เทคโนโลยีกระตุ้นสมองสามารถกระตุ้นพัฒนาการให้เป็นปกติสมวัยได้ ปัจจุบันมีการรักษาเสริมที่หลากหลาย เช่น ห้องกระตุ้น multisensory environment กิจกรรมบำบัด อรรถบำบัด และเทคโนโลยีกระตุ้นสมอง

5 สัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตเด็กๆ

  1. ไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ หรือไม่สบตา
  2. พูดช้า พูดน้อย หรือพัฒนาการด้านภาษาไม่สมวัย
  3. เล่นซ้ำ ๆ ไม่เล่นสมมติ เล่นไม่มีจินตนาการ
  4. ชอบเล่นคนเดียว ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว
  5. มีพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆ ไม่ยืดหยุ่น หรือแสดงอารมณ์ไม่สมบูรณ์ อดทนรอคอยไม่ได้

อาการเหล่านี้อาจทำให้พ่อแม่กังวลว่าลูกเป็นออทิสติก หรือเป็นเด็กสมาธิสั้น แต่แท้จริงแล้วบางครั้งอาจเป็นเพียงผลจากพฤติกรรมการเลี้ยงดู หากพบเร็วสามารถเริ่มกระตุ้นและฟื้นฟูได้

หัวใจสำคัญคือการ “ปรับเปลี่ยน” และ “เริ่มต้นใหม่”

ข่าวดีคือภาวะที่เรียกว่า ออทิสติกเทียม สามารถฟื้นฟูให้เป็นปกติได้ หากผู้ปกครองลดการใช้หน้าจอ เพิ่มการพูดคุย เล่นสนุก มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก เด็กจะค่อย ๆ มีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อรู้เร็วและจัดการเร็ว การรักษาออทิสติกเทียม จึงไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกับออทิสติกแท้ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในครอบครัวสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้

หากไม่แน่ใจว่าลูกมีอาการไหม ควรทำอย่างไร?

หากผู้ปกครองมีความกังวลและสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก ควรพาลูกเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เพื่อประเมินว่าเด็กเป็นออทิสติกแท้ ภาวะคล้ายออทิสติก หรืออาจเป็นเด็กสมาธิสั้น ซึ่งแต่ละภาวะจะมีแนวทางในการดูแลแตกต่างกันดังนี้

  • การรักษาออทิสติกต้องใช้แผนการบำบัดเฉพาะบุคคล เช่น นักกิจกรรมบำบัด นักจิตวิทยา และครูการศึกษาพิเศษ
  • สำหรับเด็กสมาธิสั้นรักษาได้ด้วยการปรับพฤติกรรม การฝึกสมาธิ และบางรายอาจต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์
  • หากเป็นเพียงออทิสติกเทียม ผู้ปกครองสามารถใช้วิธีรักษาออทิสติกเทียม โดยเน้นลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มการกระตุ้นพัฒนาการ

ปัจจุบันที่ interRehab NeuroBridge ศูนย์รักษาออทิสติก การกระตุ้นพัฒนาการเฉพาะบุคคล

ครอบคลุมด้าน การสื่อสาร สมาธิสั้น และบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกิจกรรมบำบัด พร้อมให้คำปรึกษา วิธีรักษาออทิสติก โดยออกแบบโปรแกรมรักษาเด็กออทิสติกหรือรักษาสมาธิสั้นที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน ร่วมกับ “เทคโนโลยีกระตุ้นสมองที่ทันสมัย” เพื่อเร่งพัฒนาการให้สมวัย เสริมศักยภาพการเรียนรู้ และการเติบโตอย่างมั่นใจในทุกช่วงวัย

Scroll to Top